จริงหรือไม่ที่ปัญหาผมร่วง-ผมบาง ศีรษะล้านนั้นมีสาเหตุเกิดมาจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนหรือฮอร์โมนเพศชาย จนนำมาสู่ความเชื่อที่ว่าผู้ชายที่มีปัญหาผมร่วง-ผมบางมีสาเหตุมาจากการที่เขามีฮอร์โมนเพศชายในร่างกายสูง แต่ความเชื่อเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
จากข้อมูลของ National Institutes of Health (NIH) กล่าวว่าผู้ชายกว่า 50 ล้านคนและผู้หญิงกว่า 30 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาศีรษะจากภาวะผมร่วง-ผมบางจากกรรมพันธุ์ (androgenic alopecia) ซึ่งเกิดจากการหดตัวของรูรากผมและส่งผลกระทบในระยะยาวต่อวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมที่เกิดมาใหม่นั้นมีขนาดบางลง ๆ จนกระทั้งรูรากผมปิดตัวจนไม่มีเส้นผมงอกมาใหม่จากรูรากผมนั้น ๆ
ปัญหาผมร่วง-ผมบางจากกรรมพันธุ์ มีลักษณะเด่นตรงที่บริเวณผมด้านหน้าจะหยุดการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณด้านข้างศีรษะ ทำให้เกิดเป็นรูปตัว M นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วง-ผมบางบริเวณกลางศีรษะเช่นกัน และเมื่อทั้งสองบริเวณนี้เข้ามาประสานกัน ก็จะก่อให้เกิดเป็นศีรษะล้านรูปตัว U แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือ เส้นผม หรือ ขน ตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายมีปฏิกิริยาที่แตกต่างต่างกันออกต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ยกตัวอย่างเช่น ขนบริเวณใบหน้าอาจมีมีเพิ่มมากขึ้นในขณะที่เส้นผมบริเวณศีรษะมีปริมาณน้อยลง
DHT ฮอร์โมนตัวร้ายเบื้องหลังปัญหาผมร่วง-ผมบาง
ฮอร์โมน DHT หรือ Dihydrotestosterone สามารถพบได้ตามบริเวณผิวหนัง รูรากผม และต่อมลูกหมาก ซึ่งเจ้าฮอร์โมน DHT นี้เองที่เป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอาการผมร่วง แต่อย่างไรก็ตามเราก็ไม่สามารถขาด DHT ได้เนื่องจากDHT ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก เพราะถ้าไม่มี DHT ต่อมลูกหมากจะไม่สามารถพัฒนาได้ตามปกติ แต่ในทางกลับกันหากมี DHT มากเกินไป อาจนำไปสู่โรคต่อมลูกหมากโตได้เช่นกัน
การรักษาปัญหาผมร่วงบางในปัจจุบัน
มีวิธีมากมายในปัจจุบันที่ช่วยยับยั้งอาการผมร่วง-บางได้โดยเข้าไปขัดขวางการทำงานของ DHT ยกตัวอย่างเช่น ยา Finasteride ซึ่งเป็นยาที่เข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนเทสโทสเตอโรนเป็น DHT แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยข้อมูลต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า ยา Finasteride นั้นเป็นอันตรายต่อผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และนอกจากนี้ยังส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศทั้งในผู้ชายและผู้หญิงอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาอื่น ๆ อีกเช่นกัน เช่น การผ่าตัดปลูกผมด้วย FUE และ FUT แต่ก็ต้องแลกกับการต้องสูญเสียเส้นผมเก่าไป และยังมีระยะพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีในการรักษาปัญหาผมร่วง-ผมบางที่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน นั่นก็คือ การปลูกผมด้วยเซลล์รากผม (UR Cell Hair MicroTransplant) โดยไม่ต้องกินยา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีระยะพักฟื้น หลังทำการรักษาสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที ซึ่งเส้นผมใหม่ที่ได้ เป็นผมจริงที่ดกหนาเป็นธรรมชาติ และให้ผลการรักษาในระยะยาว จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเทคนิคนี้ จึงเป็นเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะคุ้มค่า คุ้มค่าใช้จ่าย แถมยังดูเด็ก อ่อนวัย มั่นใจมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง-บางจากฮอร์โมนและพันธุกรรม หรือไม่แน่ใจในสาเหตุของปัญหา สามารถเข้ามาปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ พตท. นายแพทย์ปิยะ รังรักษ์ศิริ ศัลยแพทย์มือหนึ่งประสบการณ์กว่า 21 ปีด้านความงาม ที่ Nida Esth’ Medical Center ศูนย์การแพทย์ความงามชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ล้ำสมัยผนวกกับความชำนาญของทีมแพทย์และบุคลากรเพื่อดูแลปัญหาที่กังวลใจ โดยสามารถเข้ารับการตรวจวัดความหนาแน่นของเส้นผมด้วยเทคโนโลยี Nano Score Robotic System เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาของแต่ละคน
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกผมด้วยนวัตกรรม Ur Cell Hai MicroTransplant กับเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ เบอร์ 02-252-2121 หรือ ไลน์ @nida_esth
Reference: https://www.healthline.com/health/dht#purpose-and-function